เปิดอก 2 นักกีฬาไทยใจเพชร จากไม้ประดับสู่ระดับเวิลด์คลาส

เปิดอก 2 นักกีฬาไทยใจเพชร จากไม้ประดับสู่ระดับเวิลด์คลาส

6 10 99
เปิดอก 2 นักกีฬาไทยใจเพชร จากไม้ประดับสู่ระดับเวิลด์คลาส 10 6 99



วงการกีฬาของประเทศไทยกำลังพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องและกำลังสร้างนักกีฬาใหม่ๆ ขึ้นมาประดับวงการมากมาย แต่ก็ต้องยอมรับว่ามาตรฐานกีฬาหลายประเภทของบ้านเรา ยังเทียบกับชาติชั้นนำทางด้านกีฬาไม่ได้ ด้วยอุปสรรคหลายๆ อย่าง เช่น สรีระร่างกาย หรือ เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์การกีฬา ทำให้นักกีฬาไทยส่วนมากถูกมองว่าเป็นเพียงไม้ประดับ แต่ที่ผ่านมาเคยมีนักกีฬาจากสยามประเทศหลายคน สามารถพิสูจน์ให้ทั่วโลกได้เห็นถึงศักยภาพ วันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ขอนำเสนอประสบการณ์สุดยอดนักกีฬาไทยที่สร้างชื่อเสียงขจรไกล จนได้รับการยอมรับจากทั่วโลก นำมาซึ่งความภาคภูมิใจให้แก่คนไทยทั้งชาติ

ปวีณา ทองสุก สร้างความสุขให้คนไทย พลิกโฉมวงการยกน้ำหนักไทยสู่มาตรฐานโลก

ปวีณา ทองสุก ฮีโร่จากมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ

ปวีณา ทองสุก ฮีโร่จากมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ สามารถสร้างความประทับใจและความสุขใจให้คนไทยได้ไม่น้อย ด้วยการไปคว้าเอาเหรียญทองปิดฉากให้กับทัพนักกีฬายกน้ำหนักในโอลิมปิกเกมส์ ปี 2547 ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ภาพเวลาเหล่านั้นยังชวนให้มีความสุขทุกครั้งที่นึกถึง และสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการกีฬายกน้ำหนักของไทยจากที่เคยอยู่นอกสายตาของกองเชียร์กลายเป็นกีฬาความหวังลุ้นเหรียญรางวัลอีกกีฬาหนึ่ง


11 ปี บนเส้นทางสายจอมพลัง วงการยกน้ำหนักโลก คงไม่มีใครไม่รู้จัก "ปวีณา ทองสุก" สาวจอมพลังจากแดนสยามประเทศ เพราะผ่านสังเวียนแข่งขันมาแล้วแทบจะทุกรายการ ตั้งแต่ระดับเยาวชน จนถึงรายการชิงแชมป์โลก แต่สำหรับคนไทยจะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่า สาวไทยหัวใจแกร่งคนนี้ ก่อนที่จะมาคว้าเอาเหรียญทองปิดฉากโอลิมปิกเกมส์ 2547 เธอเคยกวาดรางวัลบนเวทีโลกมาแล้วอย่างมากมาย


ปวีณา นักยกน้ำหนักหญิงที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการกีฬายกน้ำหนักของไทย


สำหรับนักกีฬายกน้ำหนัก รายการชิงแชมป์โลก ถือเป็นการแข่งขันที่หินที่สุดรายการหนึ่ง เพราะได้รวบรวมเอาตัวเก่งจากทั่วโลกมาไว้ในรายการนี้ ซึ่งก่อนที่จะมาแข่งโอลิมปิกที่เอเธนส์ ก็สามารถไปคว้าเอาเหรียญทองในรายการชิงแชมป์โลกมาได้ และก่อนหน้านั้นยังมีเหรียญรางวัลจากทั้งเอเชียนเกมส์ ซีเกมส์ และรายการอื่นๆ อีกหลายรายการ จนเป็นที่รู้จักในวงการยกน้ำหนักโลก แต่สำหรับคนไทย ชื่อของ ปวีณา ทองสุก อาจไม่คุ้นหู เพราะกีฬายกน้ำหนักยังไม่ได้เป็นที่สนใจของคนไทยมากนัก จนกระทั่งโอลิมปิกฯ ที่กรุงเอเธนส์ เปิดหัวมาด้วยเหรียญทองประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นเหรียญทองแรกในกีฬาโอลิมปิกของทัพนักกีฬายกน้ำหนักไทย แล้วในปีนั้นเป็นปีที่กีฬายกน้ำหนักร้อนแรงสุดๆ ส่งนักกีฬาไปแข่งทั้งหมด 4 คน ซึ่ง 3 คนก่อนหน้านั้น คว้าเอาเหรียญรางวัลติดมือกันมาหมด เหลือเราเป็นคนสุดท้ายที่จะทำการแข่งขัน ความกดดันจึงเกิดขึ้นทันที "พอเพื่อนคนอื่นได้เหรียญติดมือกันหมดแล้วเหลือเราที่ต้องแข่งเป็นคนสุดท้าย เลยเกิดความกดดันเพราะกลัวว่าจะเป็นคนเดียวที่กลับไปโดยไม่ได้เหรียญรางวัลอะไรเลย"



โอลิมปิกฯ ที่กรุงเอเธนส์ เปิดหัวมาด้วยเหรียญทองประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นเหรียญทองแรกในกีฬาโอลิมปิกของทัพนักกีฬายกน้ำหนักไทย


นักกีฬายกน้ำหนักระดับโลก ส่วนมากก็จะรู้จักฝีมือกันดีอยู่แล้ว เพราะเคยแข่งกันมาในรายการอื่นๆ เป็นประจำ เคยประลองฝีมือผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาหลายรอบ พอมาเจอกันอีกครั้งในโอลิมปิก นักกีฬาที่คุ้นหน้าคุ้นตากันก็จะเป็นคู่แข่งตัวสำคัญ แต่ก็มีเรื่องเซอร์ไพรส์ เพราะปีนั้น มีนักกีฬาจากรัสเซียที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน แล้วคนนี้ฝีไม้ลายมือไม่ธรรมดาเลย เก่งขนาดเข้ามาเบียดสู้กับนักกีฬามากประสบการณ์ได้แบบสบายมือ ซึ่งต้องสู้กันแบบนาทีต่อนาที กิโลต่อกิโล สุดท้ายยังมาทำน้ำหนักเสมอกันอีก ถ้าใครได้ดูถ่ายทอดสดในตอนนั้น จะเห็นว่านักกีฬารัสเซียคนนี้ รูปร่างท่าทางไม่ต่างอะไรกับผู้ชาย โครงสร้างร่างกายสูงใหญ่ตามสไตล์ของคนยุโรป แล้วเป็นผู้หญิงที่มีกล้ามแขนเป็นมัดๆ น้ำเสียงห้าวหาญบวกกับสายตาที่มุ่งมั่นปะปนไปกับความดุดัน ผิดกับนักกีฬาจากชาติไทยเมื่อเทียบกันแล้วต่างกันคนละขั้ว แต่หากพูดถึงฝีมือก็ไม่ได้ทิ้งกันมากนัก เพราะเมื่อแข่งจบท่าสแนตช์ นักกีฬาหมีขาวแห่งรัสเซีย ทำน้ำหนักรวมได้ 125 กิโลกรัม ในขณะที่สาวไทยยกไปได้ 122.5 กิโลกรัม



ปวีณา ทองสุก ทำน้ำหนักได้ 150 กิโลกรัม ซึ่งเป็นการทำลายสถิติโลกกีฬายกน้ำหนักในพิกัด 75 กิโลกรัม ในเวลานั้น

ในท่าคลีนแอนด์เจิร์ก สาวไทยเดินขึ้นเวทีอย่างมาดมั่นพร้อมกับยกมือไหว้ตามแบบฉบับคนไทย เมื่อเสียงอาณัติสัญญาณดังขึ้นพร้อมกับเสียงรอบข้างที่เงียบสงบลงทันที มีเพียงเธอที่มือทั้งสองกำแท่งเหล็กไว้แน่น ก่อนจะใช้พลังงานทั้งหมดของร่างกาย ยกบาร์เบลล์ขนาด 145 กิโลกรัม ขึ้นมาพักไว้ที่บริเวณอก ก่อนจะยกขึ้นเหนือศีรษะอีกทีหนึ่ง เหมือนจะจบลงง่ายๆ แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ปวีณา ออกอาการเซถลาจนกองเชียร์ต่างเกร็งไปตามกัน แต่ในที่สุดก็สามารถควบคุมจนจบท่านี้ไปได้อย่างสวยงาม ในขณะที่คู่แข่งจากแดนหมีขาวเดินออกมาพร้อมส่งเสียงคำรามเยี่ยงชายชาตรี ก่อนจะยกบาร์เบลล์หนัก 142.5 ขึ้นแบบสบายมือ เห็นแบบนั้นแล้วก็ยิ่งสร้างความหนักใจให้กับกองเชียร์ชาวไทยที่ส่งกำลังใจกันอยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์


"ขึ้นยกท่าคลีนแอนด์เจิร์กรอบสอง นักกีฬารัสเซีย เรียกน้ำหนักถึง 147.5 กิโลกรัม แล้วเขาก็ยกขึ้นแบบง่ายๆ จึงตัดสินใจปล่อยทีเด็ด เรียกน้ำหนัก 150 กิโลกรัมไปสู้ ซึ่งถ้ายกได้ก็จะได้เป็นสถิติโลกด้วย เวลาซ้อมที่น้ำหนัก 150 กิโลกรัม วันหนึ่งยกเป็นร้อยรอบ เวลายกไม่ขึ้นก็ยกใหม่ได้ แต่เวลาแข่งมันไม่เหมือนกัน ตอนนั้นถ้าได้ก็คือได้ ถ้าไม่ได้ก็มีโอกาสแก้ตัวแค่อีกครั้งเดียว ซึ่งมันกดดันกว่าตอนซ้อมมาก แต่ในที่สุดก็เอาชนะความกดดันก่อนจะชูบาร์เบลขึ้นสุดแขนได้อย่างสวยงาม"


ปวีณา ออกอาการเซถลาจนกองเชียร์ต่างเกร็งไปตามกัน แต่ในที่สุดก็สามารถควบคุมจนจบท่านี้ไปได้อย่างสวยงาม

ปวีณา ทองสุก ทำน้ำหนักได้ 150 กิโลกรัม ซึ่งเป็นการทำลายสถิติโลกกีฬายกน้ำหนักในพิกัด 75 กิโลกรัม ในเวลานั้น ขณะที่คู่แข่งคนสำคัญทำได้ 147.5 กิโลกรัม น้ำหนักรวมทั้งหมดจึงออกมาเสมอกัน แต่การที่เป็นคนไทยนี่แหละที่มีโครงสร้างและรูปร่างที่เล็กกว่าทำให้น้ำหนักตัวน้อยกว่าคู่แข่ง และสามารถคว้าเหรียญทองมาเชยชมได้สมใจ ปิดฉากโอลิมปิกให้ทัพนักกีฬาไทยได้อย่างสวยงาม หลังจากนั้นกีฬายกน้ำหนักก็กลายเป็นกีฬาความคาดหวังที่จะคว้าเอาเหรียญรางวัลมาได้ในการแข่งขันโอลิมปิก


สำหรับนักกีฬารุ่นใหม่ๆ การเป็นนักกีฬาไทยมักถูกมองว่าเป็นไม้ประดับ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเบอร์หนึ่งของโลก แต่นักกีฬาก็สามารถทำให้กองเชียร์มีความสุขทุกครั้งที่ทำการแข่งขัน "การที่คนไทยตัวเล็กๆ ต้องไปแข่งขันในระดับโลก จะต้องมีความมุ่งมั่นและความพยายาม มีความตั้งใจและความมุ่งมั่น การแสดงออกของนักกีฬาบ่งบอกถึงความมุมานะที่จะไปให้ถึงฝั่งฝัน เชื่อว่านักกีฬาทุกคนต้องการทำชื่อเสียงให้ประเทศ กุญแจแห่งความสำเร็จ คือความมีระเบียบวินัยและความรับผิดชอบ หมั่นพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญต้องดูแลตัวเอง แล้วความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม" ปวีณา ทองสุก ฝากกำลังใจไปถึงนักกีฬารุ่นใหม่ๆ ทุกคน


ปวีณา ทองสุก ฮีโร่จากมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ สามารถสร้างความประทับใจและความสุขใจให้คนไทยได้ไม่น้อย

สมาน ส.จาตุรงค์ กำปั้นหัวใจเพชร โดนยำจนเละแต่ได้เป็นแชมป์โลก

ย้อนกลับไปวันที่ 16 กรกฎาคม ปี 2538 เป็นวันที่วงการมวยต้องจารึกชื่อ สมาน ส.จาตุรงค์ ไว้บนทำเนียบแชมเปียนมวยโลก แชมป์ประวัติศาสตร์ชาวไทย ผู้หักปากกาเซียนทุกสำนักด้วยการไปคว่ำ ฮุลแบร์โต้ กอนซาเลซ ราชามวยเบอร์ 1 ในรุ่น 105 ปอนด์ (ไลท์ฟลายเวท) ถึงประเทศสหรัฐอเมริกา การขึ้นชกของสมานในไฟต์นั้นยังคงติดตราตรึงใจแฟนหมัดมวยชาวไทย เพราะเป็นการเอาชนะแบบช็อกโลก ด้วยหัวจิตหัวใจที่ไม่ย่อท้อ ทำให้นักมวยโนเนมอย่าง สมาน ส.จาตุรงค์ เปลี่ยนจากคำว่าไม้ประดับกลับกลายมาเป็นนักมวยตัวอันตรายที่คู่ชกต้องหวั่นเกรง



สมาน ส.จาตุรงค์ กำปั้นหัวใจเพชร

"นักมวยโนเนมนอกสายตาที่ไม่เคยได้แชมป์อะไรมาก่อน อีกทั้งก่อนหน้านั้นก็เคยขึ้นชิงแชมป์กับลิคาร์โด้ โลเปซ นักชกชื่อดังแห่งแดนจังโก้มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่แพ้น็อกอย่างรวดเร็วในยกที่ 2 สำหรับกอนซาเลซคือคู่ชกที่อันตรายและมีชื่อเสียงระดับโลก ได้รับการยกย่องเป็นราชามวยรุ่นเล็กของประเทศเม็กซิโก ครั้งนี้พอมีข่าวจะขึ้นชิงแชมป์ สื่อต่างๆ เลยประโคมข่าวออกไปว่าเป็นได้แค่บันไดให้ไอ้แอ๊ดแห่งเม็กซิโกใช้ไต่อันดับ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ แต่กลับทำให้มีกำลังใจมากขึ้น เป็นแรงผลักดันให้อยากเอาชนะให้ได้ เพื่อลบคำสบประมาทเหล่านั้น"


เมื่อฐานะเป็นมวยรอง ก็ไม่จำเป็นต้องถอยให้มากความ ยกแรก สมานจำเป็นต้องเปิดเกมเดินเข้าหาคู่ชกก่อน ในขณะที่เจ้าถิ่น อาศัยลูกเก๋าปัดป้อง คอยดักจังหวะสวนตอบโต้สลับกับเดินหน้าใส่บ้าง จนนักชกไทยโดนหมัดเต็มๆ ไปหลายครั้ง ยกแรกแม้จะเป็นการดูเชิงแต่ก็มีหมัดเปิดแลกกันจังๆ หลายครั้ง เกมการชกในยกแรกก็ถือว่าดุเดือดแล้ว พอเข้ายกสอง ระฆังดังไม่ถึงนาที ไอ้เสือร้ายกอนซาเลซเกิดทะเล่อทะล่าเข้าหานักชกไทยจนโดนหมัดขวาเข้าไปเต็มหน้า ส่งผลกอนซาเลซลงไปนั่งบนพื้นเวที กรรมการนับไปถึง 8 และตรงนี้เองได้กลายจุดเปลี่ยนของเกม "พอชกกอนซาเลซลงไปให้กรรมการนับได้ ตอนนั้นกำลังใจมาเต็มๆ แต่เหมือนไปจี้โดนต่อมยั่วโมโห พอคู่ชกลุกขึ้นมาได้ ก็เดินหน้าบุกตะลุยอยู่ฝ่ายเดียว เรียกได้ว่าจะปิดเกมให้เร็วที่สุด" สถานการณ์บนเวทีไม่สู้ดีนัก เพราะนักชกไทยโดนถลุงไม่หยุด แล้วก็เป็นฝ่ายถูกชกร่วงไปให้กรรมการนับถึงสองครั้งในยกที่ 5 กับยกที่ 6"




กำปั้นหัวใจเพชร โดนยำจนเละแต่ได้เป็นแชมป์โลก
"โดนกอนซาเลซไล่ต่อยอย่างบ้าเลือด ตอนนั้นเริ่มท้อแล้ว เพราะไม่ใช่แค่โดนเขาไล่บี้อยู่ฝ่ายเดียว แต่ขนาดออกหมัดสวนไปจังๆ หลายครั้ง กอนซาเลซไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด แต่กลับไปสุมไฟเพิ่มความโมโหให้เจ้าถิ่นเข้าไปอีก พอตัวเองโดนซัดจังๆ ไปหลายชุด ตาขวาก็เริ่มมีปัญหา จากที่ปูดก็กลายเป็นปิดสนิท ลำพังแค่ป้องกันตัวแล้วคอยสวนกลับก็ยากพออยู่แล้ว นี่พอตาขวาปิด ก็เหมือนปิดโอกาสชนะทุกประตู เพราะจะต่อยไปแต่ละทีก็กะระยะไม่ได้แล้ว สถานการณ์ตอนนั้นเลวร้ายมาก ปลายยก 6 โดนต้อนเข้ามุม กรรมการก็จ้องแล้วจะจับแยกแล้วเพราะโดนต้อนอยู่ฝ่ายเดียว แต่พอดีระฆังตีหมดยกซะก่อน"


ระฆังช่วยให้ผ่านยกที่ 6 ไปได้ แต่กรรมการก็เห็นเค้าแล้วว่าสู้ต่อไปก็ไม่มีทางชนะ ในเมื่อผู้ท้าชิงชาวไทยเป็นฝ่ายโดนถลุงอยู่ข้างเดียว พอหมดยกที่ 6 กรรมการก็เดินมาที่มุมของ สมาน ทันที กรรมการบอกกับพี่เลี้ยงและนักมวยชาวไทยว่า ให้โอกาสแค่ยกเดียว ถ้าทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ก็จะจับแพ้ทันที



หลังจากปราบพยศกอนซาเลซชนิดพลิกความคาดหมาย สมานได้ขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลก
"จะถอยอีกไม่ได้แล้วนะหมาน!!! มีโอกาสให้พิสูจน์อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น พี่เลี้ยงพูดวันนั้นจำได้ไม่มีวันลืม มันช่วยปลุกเร้ากำลังใจให้กลับมาอีกครั้ง ในฐานะที่เป็นคนไทย ก้าวมาได้ถึงขนาดนี้แล้ว จะไม่มีทางยอมให้ถูกจับแพ้ แต่จะขอยอมถูกชกให้ลงไปนอนสลบคาเวทียังจะดีกว่า" ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสีย ระฆังยกที่เจ็ดดังขึ้น สมาน ในสภาพบอบช้ำยับเยิน ตาขวาปิดสนิท ก็เป็นฝ่ายวิ่งเข้าหาคู่ชกอย่างไม่คิดชีวิต ขณะที่เจ้าถิ่นเป็นถึงนักมวยระดับซุปเปอร์สตาร์ ก็ต้องการชกเอนเตอร์เทนคนดู ยกที่เจ็ดจึงเปิดหมัดชุดเข้าแลกกันกลางเวทีอย่างดุเดือดชนิดที่ว่าใครดีใครอยู่ ตาที่ปิดไปข้างหนึ่ง แม้จะทำให้คำนวณระยะออกหมัดไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะต่อยไม่โดน พอแลกกันกลางเวทีได้สักพัก หมัดขวาที่ออกไป ก็เข้าเต็มปลายคางจนกอนซาเลซถึงกับหงายหลัง ลงไปนอนกับพื้นเวที กรรมการไม่รอช้า รีบเข้าไปนับถึง 8 ก่อนจะลุกขึ้นมาด้วยใบหน้าที่อาบไปด้วยเลือด พอเห็นว่าคู่ชกเริ่มมีอาการไม่ดี กำลังใจก็กลับมาอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ไม่คิดชีวิตแล้ว เดินหน้าบวกอย่างเดียวจนกอนซาเลซกระเด็นไปกระเด็นมาอยู่บนเวที ไม่มีทางจะตอบโต้ได้ กรรมการเห็นเป็นเช่นนั้นก็จับให้กอนซาเลซแพ้ไปชนิดหักปากกาเซียนทุกสำนัก


หลังจากปราบพยศกอนซาเลซชนิดพลิกความคาดหมาย สมานได้ขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลกพร้อมกัน 2 สถาบัน ความรู้สึกคงบรรยายเป็นคำพูดได้ไม่หมด แต่ที่แน่ๆ คือความดีใจที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะทำได้ และที่สำคัญ สมาน สามารถลบคำสบประมาทที่เคยโดนดูถูกจากสื่อทุกสำนัก "ถ้าหากถอดใจตั้งแต่ที่โดนไล่ต่อยอยู่ฝ่ายเดียว ความสำเร็จคงไม่เกิดขึ้น อยากฝากไปถึงนักกีฬาไทยทุกคนให้มีหัวจิตหัวใจที่เข้มแข็ง อย่าไปท้อกับการโดนดูถูก เพราะสิ่งเหล่านี้จะแปรเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันให้กระหายในชัยชนะ แล้วในที่สุดความสำเร็จก็จะไม่ไกลเกินเอื้อม ยังมีนักกีฬาไทยอีกมากมายที่กำลังเดินตามความฝัน สักวันหนึ่งจะได้ก้าวสู่ในระดับโลกและสร้างรอยยิ้มให้กับคนไทย แม้หนทางที่จะไปถึงฝั่งฝันจะต้องผ่านพบอุปสรรคมากมาย แต่เชื่อว่ากองเชียร์ชาวไทยจะคอยส่งแรงใจให้กับนักกีฬาเหล่านั้นไม่ต้องต่อสู้อยู่เพียงลำพัง" อดีตแชมเปียนโลก 2 สถาบัน กล่าวและขอเป็นกำลังใจให้นักกีฬาไทยทุกคน




อยากฝากไปถึงนักกีฬาไทยทุกคนให้มีหัวจิตหัวใจที่เข้มแข็ง อย่าไปท้อกับการโดนดูถูก เพราะสิ่งเหล่านี้จะแปรเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันให้กระหายในชัยชนะ

ทั้ง 2 คน คือตัวอย่างนักกีฬาไทยที่สวมหัวใจเพชร จนสามารถประสบความสำเร็จได้ระดับโลก อีกทั้งชีวิตส่วนตัวก็เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักกีฬารุ่นใหม่ๆ ปัจจุบัน ปวีณา ทองสุก และ สมาน ศรีประเทศ (สมาน ส.จาตุรงค์) แม้จะออกจากวงการกีฬาไปนานแล้ว แต่ชีวิตส่วนตัวก็ถือว่ามีความสุข ประสบความสำเร็จไม่แพ้ตอนเป็นนักกีฬา โดยในปัจจุบัน ร้อยเอกหญิงปวีณา ทองสุก รับราชการทหารและได้แต่งงานกับอดีตนักกีฬาฟันดาบทีมชาติไทย แม้จะไม่ได้เป็นนักกีฬาแล้วแต่ก็ยังไปช่วยงานที่สมาคมยกน้ำหนักเป็นประจำ ด้าน สมาน ส.จาตุรงค์ หลังแขวนนวมก็หันมาประกอบอาชีพขายข้าวมันไก่ ร้านอยู่ที่หมู่บ้านฟ้าลากูล รังสิต - คลอง 2 ด้วยเหตุนี้แฟนมวยจึงตั้งฉายาให้ว่า "หมาน มันไก่" ปัจจุบัน สมาน แต่งงานและมีลูกสาว 1 คน กำลังศึกษาที่โรงเรียนสวนกุหลาบรังสิต หากใครอยากลองชิมข้าวมันไก่ฝีมือแชมป์โลกก็สามารถแวะไปทานกันได้

ที่มา thairath.co.th

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 
updatekhaofree © 2015
Top